ดูหนัง the outpost เต็มเรื่อง Full HD 24 ช.ม.

0 0
Read Time:9 Minute, 59 Second

ดูหนัง the outpost ขึ้นกับเหตุจริง กลุ่มทหารสหรัฐปฏิบัติหน้าที่ที่ด่านที่อันตรายที่สุดในอัฟกานิสถานถูกจู่โจมอย่างไม่หยุดยั้งโดยกองกำลังขององค์การก่อการร้ายโคนลิบาน การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของพวกเขาเป็นการแสดงที่อาจหาญที่สุดของคนอเมริกัน

เรากำลังจะได้มองดูอีกหนึ่งหนังที่อิงมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ดูหนัง the outpost กระทำทางการทหารที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์กับการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย กับฐานที่มั่นที่เสียเปรียบในเชิงที่มีความสำคัญในการรบ ที่ถูกตั้งฉายาและเรียกว่า “ปากหลุมแดนนรก” ภารกิจที่จำเป็นต้องตัวรอดจากการเช็ดกลุมร้อมของทหารกล้า 54 นาย ถึงได้เริ่มขึ้นใน “The Outpost ฝ่ายุทธเทือกเขาไม่ล้อมตาย”

ผลงานการควบคุมหนังเรื่องเดี๋ยวนี้ของ “ร็อด ลูล้น” ที่หวนมาฝ่างานหนังใหญ่อีกครั้ง ภายหลังที่เปลี่ยนทิศทางหันไปเอาดีกับงานด้านโทรทัศน์มากกว่า ดัดแปลงแก้ไขมาจากหนังสือเชิงสารคดีของ “เจค แท็ปเปอร์” ทีชื่อว่า ‘The Outpost : An Untold Story of American Valor’ ที่อ้างอิงมาจากบันทึกแล้วก็สถานะการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในฐานปฏบัว่ากล่าวการทางด้านทหารของกองกองทัพประเทศสหรัฐอเมริกา

ดูหนัง the outpost

เรื่องราว ดูหนัง the outpost

The Outpost เกิดเหตุราวของเจ้าหน้าที่รัฐทหารกองทัพประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่จำเป็นต้องดำเนินการอยู่ที่ฐานทัพในซอกเขาลึกของอัฟกานิสถาน ที่กลายเป็นที่มีความสำคัญในการรบที่ตั้งที่เสียเปรียบในเชิงการทำสงครามการทหาร เพราะตั้งอยู่ตรงกลางซอกเขาที่ล้อม แล้วก็ยังอยู่ในพื้นที่ฐานที่มั่นของโคนลิบาน 54 ทหารกล้าที่ดำเนินการ ควรต้องต่อสู้เจอหน้ากับกลุ่มก่อการร้ายนับร้อยที่อาวุธครบมือ

หนังมาพร้อมกับเนื้อหาและโทนที่แบ่งอารมณ์ออกได้เด่น Wowgame007 โดยในครึ่งแรกเป็นการปูเรื่องราวและแนะนำตัวละครกับภารกิจทุกวี่ทุกวันของติดอยู่แรกเตอร์ และก็ยังเกลี่ยหน้าที่แต่ละตัวละครออกมาได้เสมอภาค ไม่ได้มีคนไหนกันเด่นหรือบทนำกว่าคนใด ในเวลาที่พักหลังของเรื่องเต็มไปด้วยระเบิดตูมตาม ฉากแอคชั่นการรบที่จัดเต็มตลอดแบบไม่ได้หยุดหายใจ ท่ามกลางเรื่องตึงเครียดที่อยู่ตรงหน้า

แม้ว่าหนังจะเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จเดิมๆในต้นแบบหนังแอคชั่นการสู้รบยุทธวิธีทางด้านการทหารที่เคยเห็นและก็มองดูจากหนังเรื่องอื่นๆมาบ้างแล้ว หากแม้ก็จัดว่าหนังมีวัตถุดิบชั้นหนึ่งเป็นเค้าโครงที่มีความยั่งยืนและก็เสมือนตามได้ง่าย ด้วยการใช้นักแสดงแล้วหลังจากนั้นก็เหตุขับเรื่องราวไป โดยการใช้เทคนิคเล่ารากฐานตามไทม์ไลน์ไปบ่อยแบบไม่เด่นอะไร

The Outpost น่าจะเป็นหนังที่อัดแน่นด้วยผู้แสดงฝ่ายชายคับจอ หากแม้นักแสดงจะมากมายเต็มไปหมด ชนิดที่ถึงหนังจะจบลงไปแล้วก็ยังไม่อาจจะจำใบหน้าทุกคนได้ เนื่องจากหนังเรื่องจะยกย่องทุกดาราที่ล้วนแต่เป็นทหารกล้าที่เคยมีชีวิตอยู่จริง ทำให้ทุกๆติดอยู่แรกเตอร์ย่อมสำคัญเท่ากันทุกหน้าที่

หากแม้ที่เด่นจริงๆก็น่าจะเป็น “สก็อตต์ อีสต์วูด” ที่แน่นอนว่าเขายังแสดงบทในลักษณะนี้ได้ค่อนจะก็ดีก็ดีแล้วเยี่ยมอยู่แล้ว เขาเป็นเสน่ห์ส่วนหลักของเรื่อง ดูหนัง the outpost แม้บทที่เขารับผิดชอบเกือบจะไม่มีมิติอะไรเลยก็ตาม ตอนที่ “ออร์แลนโด บลูม” ก็ดูเหมือนจะมาเป็นก็แค่ส่วนเสริมของหนัง แต่ก็เป็นส่วนที่มีความสำคัญของเรื่องอยู่ไม่น้อย

หนังยังมี “แจ็ค เคซี”, “เทเลอร์ จอห์น สมิธ”, “ไมโล กิ๊บสัน” หรือ “โครีย์ ฮาร์คริกต์” ที่ถ่ายทอดความเป็นผู้ชายชาตินักรบออกมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี แต่ที่ขยี้หน้าที่ออกมาได้อย่างดียิ่งแล้วก็มีมิติที่สุดก็น่าจะเป็นการแสดงของนักแสดงเด็กหนุ่มดาวรุ่ง “เคเลบ แลนดรีย์ โจนส์” ที่จำเป็นต้องแบกรับบทเป็นทหารที่ส่งผลต่อจากภาวการณ์ทางอารมณ์ ด้วยเหตุว่าการเผชิญหน้ากับความรุนแรงในสนามรบการทำสงคราม เขาเล่นได้เยี่ยมแล้วก็เล่นได้จริง

จำเป็นต้องพูดว่า The Outpost เป็นหนังสงครามที่อัดแน่นมาด้วชูระกระทำการที่ทำให้ผู้ชมควรต้องลุ้นระทึกรวมทั้งหัวใจเต้มแรงตามภาพเหตุที่อยู่ด้านหน้า หนังตอบปัญหาผู้ชมได้เป็นอย่างดี คอหนังการทำสงครามตื่นเต้นจำพวกนี้จะต้องรู้สึกชื่นชอบได้ไม่ยาก ครึ่งแรกอาจจะเบาๆถึงแม้ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเบื่อ เปลี่ยนโหมดมาสู่พักหลังที่ใส่ฉากการต่อสู้มาแบบแทบไม่ได้หยุดหายใจ

โดยภาพรวมแล้ว The Outpost ฝ่ายุทธเทือกเขาไม่ล้อมตาย นับว่าเป็นหนังที่ดูและจะจับอกจับใจได้ไม่ยากด้วยการอ้างอิงจากเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน ด้านหลังดูหนังจบก็สามารถไปรีเสิร์ชค้นคว้าข้อมูลของเหล่าทหารกล้าได้ต่อ หนังมากับสูตรสำเร็จที่ไม่ได้สร้างความแตกต่างจากหนังเรื่องอื่นอะไร แต่ก็ยังสมใจรวมทั้งระทึกใจกับฉากแอคชั่นที่ทำออกมาเจริญก้าวหน้า

ดูหนัง the outpost

รีวิว The Outpost : ชัยภูมิมรณะ ครึ่งแรกคุยมากไม่น้อยเลยทีเดียวเกือบจะสารคดี

เรื่องย่อ ดูหนัง the outpost จากข้อเท็จจริงสุดประหลาดของภารกิจเสี่ยงตายในอัฟกานิสถาน เมื่อทหารจำนวน 54 คน ถูกล้อมด้วยกองกำลังตาลีบันกว่า 400 คน ในเขตแดนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ออกแล้วก็อันตรายที่สุดในโลก วิถีทางเดียวที่จะรอด เป็นควรต้องสู้ และฝ่ายุทธเทือกเขาไม่ล้อมตายนี้ไปให้ได้!

“นักวิเคราะห์ต่างเรียกค่ายนี้ว่า ค่ายมรณะ เนื่องจากจะไม่มีผู้ใดรอดไปจากค่ายนี้ได้” เรียกว่าจั่วหัวได้อย่างน่าสนใจ กับเนื้อความ “สร้างขึ้นมาจากเรื่องจริง” ที่แปลงเป็นคำการตลาดที่เสร็จสำหรับหนังแนวเรื่องเศร้าการสู้รบไปเสียแล้วซึ่งตัวหนังก็แก้ไขบทมาจากหนังสือชื่อ The Outpost: An Untold Story of American Valor เขียนโดยหัวหน้าผู้สื่อข่าวของ CNN อย่าง เจก แทปเปอร์ ที่เล่าถึงความเด็ดเดี่ยวนรกแตกของ 53 ทหารอเมริกัน (แล้วหลังจากนั้นก็ทหารลัตเวียอีก 2 นาย)

ใน สนามรบคละเคล้าบารมี (ต่อมาแปลงชื่อเป็น การต่อสู้ค่ายคีตติ้ง) ที่ทำการตรงกลางป่าดงเหล่าผู้ก่อเหตุร้ายตาลีบันถึงในซอกเขาต่างจังหวัดของอัฟกานิสถาน โดยความช่วยเหลือที่ใกล้ที่สุดต้องคอยกันกว่า 2 ชั่วโมง และก็ที่สำคัญชัยภูมิที่ตั้งค่ายก็แหกหนังสือเรียนเล่ห์เหลี่ยมทุกเล่ม ด้วยเหตุว่าเล่นตั้งอยู่กลางแอ่งกระทะที่ล้อมจากแนวเขาสูงทุกด้าน เรียกว่าชักชวนให้ปิดประตูตีแมวได้เลย

ผู้กำกับ ร็อด ลูรี อาจยังไม่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทำให้คุ้นเคยหูนัก ถึงแม้ก็ไม่ใช่มือใหม่เสียท่าเดียว เพราะเขาก็ช่ำชองกับการเป็นนักเล่าเรื่องราวแบบเครียดๆหนักๆทั้งยังดราม่าทหาร การต่อสู้ หรือการบ้านการเรือน อยู่เสมอ ซึ่งนี่ก็เป็นโพรเจกต์ที่คอการรบต่างคอยให้ได้ขึ้นหนังอยู่เสมอ ไม่มีความแตกต่างจากทำงานเรดวิงที่เคยกลายเป็นหนังมีชื่ออย่าง Lone Survivor (2013) ของผู้กำกับ ปีเตอร์ เบิร์ก มาแล้ว

แต่ว่าในด้านซีนโชกเลือดและก็เรื่องโศกเศร้าแล้ว สนามรบผสมเดโชจัดว่าโหดร้ายกว่าเรดวิงมากมายก่ายกอง เพราะเป็นการล้อมฆ่าทหารอเมริกันเพียงแต่ 50 กว่าคน โดยกองกำลังตาลีบันกว่า 400 คนที่เหนือกว่าอีกทั้งจำนวนคนและก็ทั้งเชิงพื้นที่กว่ามากไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะเหตุว่าหนังได้เรื่องรีเสิร์ชที่ดีจากหนังสือเป็นทุนอยู่แล้ว ประกอบกับสิ่งที่จำเป็นอุทิศคารวะทหารทุกนายที่สละชีพไปในค่ายที่นี้

ก็เลยจำเป็นจะต้องเล่าย้อนกันไปตั้งแต่ต้นโคนปัญหา สมัยที่ ผู้กองคีตติ้ง (ออแลนโด้ บลูม) ทำการสงบโดยเข้าเสวนากับหัวหน้าเผ่าต่างๆให้วางอาวุธ โดยแลกกับการช่วยเหลือเงินทุนเพื่อการพัฒนาด้านการศึกษาและสาธารณูปโภคแก่พสกนิกร เรื่อยมากมายระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าค่ายและทำให้ข้อตกลงของคีตติ้งถูกละเลย

และจากนั้นก็จากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆอย่างตัวบุคคล อาทิเช่นผู้จัดการ ตลอดจนเหตุผลด้านการเมืองใดๆก็ตามหนังก็เบาๆให้เราซึมซับก้อนเมฆร้ายที่ตั้งเค้าก่อนเกิดลมพายุทีละน้อยจากทางความสงบสุขแล้วก็การได้ยุบค่ายกลับบ้าน ก็เปลี่ยนเป็นการหัวแข็ง และเรื่องเศร้าตอนท้ายซึ่งที่ว่านี้หนังก็เลยจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาปูความเป็นมาเกือบครึ่งเรื่อง ซึ่งเป็นทั้งลักษณะเด่นคือได้ข้อมูลเยอะแยะ (ในระดับที่แทบจะผ่านเส้นไปเป็นหนังสารคดี)

เพื่อผู้ชมวิเคราะห์ความถูกผิดรู้จัก โดยผู้กำกับก็ใช้จุดเด่นของเซ็ตติ้หารณะตรงกลางป่าศัตรูกับกระสุนที่ไม่ทราบจะยิงมาตอนไหน ได้ชักชวนให้อกสั่นขวัญแขวนอยู่เป็นระยะ ซึ่งถือว่าทำเป็นดี (ถ้าคุณไม่ได้เกลียดชังตอนดราม่ายาวๆในหนังสงครามแอ็กชัน) ..ว่ากันตามจริงจากไม่ค่อยชื่นชอบในตอนแรก เมื่อถึงจุดหนึ่ง แปลงเป็นชื่นชอบกระบวนการเล่าที่ตรงนี้ขึ้นมาเสียแบบนั้น เหมือนได้เรียนปัญหาไปพร้อม

ส่วนข้อบกพร่องที่ตามมาเป็น.. จะด้วยเนื่องจากความเคารพนับถืออย่างประทับใจหรือยังยังไงไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆเป็นมองไม่เห็นอกเห็นอกเห็นใจผู้ชมเลย เพราะตั้งแต่เปิดเรื่องมาจนกระทั่งจุดนี้หนังก็แวะเวียนให้ได้รู้จะทหารทั้ง 55 นายในค่าย (อเมริกัน 53 ลัตเวีย 2) แบบมีชื่อเสียงให้รายคน! ทุกคน!

ซึ่งยอมรับว่าปวดกบาลเยอะมากในการจำเป็นต้องจำบริเวณใบหน้าและชื่อบางคนเพื่อเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้กระจ่างขึ้น แล้วก็เมื่อถึงจุดหนึ่งๆความรู้สึกช่างมันเถอะก็มีขึ้น ดูหนัง the outpost และก็ขอเลือกจำเพียงแต่ตัวหลักๆที่หน้าขึ้นโปสเตอร์อย่าง ผู้กองคีตติ้ง, นายสิบโรเมชา (สก็อตต์ อีสต์วูด) และ พลทหารคาร์เตอร์ (ค้างเล็บ แลนดี โจนส์) พอเพียง ซึ่งก็เป็นแนวทางที่ดีขอรับ แนะนำเลย

หนังเข้าตอนแอ็กชันที่รอคอยจริงจังในครึ่งเรื่องด้านหลัง แต่ว่ามาและสาดกันยาวๆแบบไม่เว้นจังหวะหายใจ จำนวนนาทียิ่งนาน ความมันยิ่งเยอะแยะตาม รวมทั้งเรื่องราวในเรื่องก็ยิ่งบีบหัวใจ ตราบจนกระทั่งจำเป็นต้องจิกเบาะ ทั้งยังงานภาพที่วิ่งสู้ฟัดข้างดาราฝ่าควันระเบิดและห่าลูกปืนเช่นเดียวกับเราไปอยู่โน่นด้วย ยิ่งผสมกับการเล่นเสียงห่าปืนกล ปืนใหญ่ จากรอบทิศทาง อย่างเช่นเพชรฆาตที่เบาๆล้อมเราเข้ามา ต้องพูดว่าคุ้มมากกับการดูปูเรื่องมากว่าชั่วโมง เพราะได้แลเห็นทุกปัญหาที่ทิ้งไว้ระเบิดขึ้นมาเป็นหายนะในทุกหย่อมหญ้าของค่ายคีตติ้ง เป็นสนุกเยอะแยะ ไม่มีอะไรให้ติติงเลย

สรุปแล้วนี่เป็นหนังสงครามที่ให้ข้อมูลแน่นล้นหลาม ได้เรียนทั้งแง่ตัวคนในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่ไปอยู่สำหรับเพื่อการออกศึก ไปตราบจนกระทั่งได้พินิจพิจารณาระบบการจัดการเตรียมการที่น่าจะเป็นบทเรียนชั้นเยี่ยม แล้วสายแอ็กชันก็สะใจคุ้มทุกนาทีในชั่วโมงด้านหลังได้เต็มเหยียดยาวๆแบบโคตรลุ้นโคตรมัน แน่นอนถึงจะรู้อยู่แล้วว่าความเป็นจริงมันจบไม่สวย แต่ให้ตั้งการ์ดกันเจ็บไว้แค่ไหนก็อดไม่ไหวจริงๆที่เห็นนักแสดงหลายตัวที่ผูกพันมาตลอดเรื่องถูกตาย การรบไม่ได้ให้อะไรที่ประดิษฐ์กับมนุษย์เลยจริงๆ

หนังจากความจริงบางทีก็ให้ความรู้ความเข้าใจสึกที่ไม่จริง หนังสงครามหลายหนก็ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวรู้สึกเหมือนกับเราได้อยู่สำหรับเพื่อการทำศึกทำสงครามจริงๆการได้ดูก็เลยอาจซึมทราบในความผลพวงรวมทั้งความเหี้ยมโหดของการรบ ถึงแม้ก็ยังไม่ได้รู้สึกเหมือนกับเราไปพบเจอมันมาด้วยตัวเองจริงๆวันนี้ มีหนังสงครามเรื่องหนึ่งที่ทำให้รู้สึกแบบนั้นได้ ‘ฝ่ายุทธเทือกเขาไม่ล้อมตาย’ หรือ ‘The Outpost’ เป็นหนังประเด็นนั้น

ดูหนัง the outpost

Review of The Outpost: Chaiyaphum Death. The first half talks a lot, quite a bit, almost a documentary.

Synopsis: Based on the bizarre facts of a deadly mission in Afghanistan. When 54 soldiers were surrounded by more than 400 Taliban soldiers in the most impossible and most dangerous border in the world. The only way to survive You should fight. ดูหนัง the outpost and make it through this endless mountain battle!

“Analysts call the camp a death camp because no one will escape from it.” It’s an interesting catchphrase, with the line “based on a true story” being translated into finished marketing for the movie. The story of a tragic war is gone, and the movie is based on a book called The Outpost: An Untold Story of American Valor, written by CNN’s chief correspondent, Jake Tapper, which tells the story of the determination and determination of 53 soldiers. American (and later two Latvian soldiers)

Happy
Happy
0 %
Sad
Sad
0 %
Excited
Excited
0 %
Sleepy
Sleepy
0 %
Angry
Angry
0 %
Surprise
Surprise
0 %